เที่ยวไต้หวัน – ไทเป จิ่วเฟิ่น ไบ่โถ

เรื่องนี้ลงเมื่อ 9 เมษายน 2561 – ความสดใหม่ของไต้หวัน ในฐานะเมืองท่องเที่ยวกำลังเป็นที่กล่าวขานกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไต้หวันขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองฮิป เป็นเมืองแห่งการออกแบบ และมีลักษณะผสมผสานระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ซึ่งก็มาจากพื้นเพที่เคยเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น ไทเปเป็นเมืองหลวงที่มีคาเฟ่เก๋ๆ อยู่เพียบ แต่ในความเก๋ทั้งหลายนั้น ไต้หวันก็ยังมีความเป็นจีนอยู่มาก ป้ายบอกทางส่วนใหญ่เป็นจีนล้วน และยังไม่มีภาษาอังกฤษกำกับเหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เมนูอาหาร และการเช็คอินตามสถานที่ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ภาษาจีนกลางแทบทั้งหมด ซึ่งว่าไปก็เป็นเสน่ห์อีกประการของเกาะแห่งนี้ ที่อาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดอาการจมบรรยากาศท้องถิ่นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี 

เพราะเราเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบช้าๆ ไปไต้หวันครั้งนี้เลยจัดไป 10 วัน คือเดินเล่นในเมืองเสียส่วนใหญ่ และออกนอกเมืองบ้างก็แค่ จิ่วเฟ่น เบ่ยโถว ที่นั่งรถออกนอกเมืองหลวงไปไม่ไกลนัก ซึ่งทั้งหมดที่เราไปมานี้ จริงๆ ใช้เวลาสี่ห้าวัน ก็น่าจะเที่ยวได้ทั่วแบบสบายๆ เหมือนกัน



ไต้หวัน พอสังเขป

แม้ว่าจะมีการพบหน้าเจอตากันระหว่างผู้นำไต้หวันและจีนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 70 ปี เมื่อสองสามปีก่อน แต่ไต้หวันกับจีนก็ยังไม่พ้นห้วงแห่งความขัดแย้งและแตกต่าง ทุกวันนี้ ถามใครให้ฟันธงตอบมาตรงๆ ว่าตกลงไต้หวันมีฐานะอะไรในโลกกันแน่ ก็คงไม่มีใครตอบได้ ลองหาดูในอินเทอร์เน็ต ก็พบว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องสุดละเอียดอ่อน การจากมาของฝ่ายก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมมาตั้งตนใหม่ที่เกาะแห่งนี้ จนสร้างลูกสร้างหลานสาแหรกใหม่ กลายมาเป็นชาว “ไต้หวัน” ที่นี่ ก็ยังไม่ได้ทำให้ไต้หวันสามารถบอกใครๆ ได้ว่าเป็นประเทศเอกราช แต่อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามตรงตอนนี้ สถานะภาพทางสังคมดูเหมือนจะไม่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับสถานะภาพทางเศรษฐกิจที่ดีและเฟื่องฟูมากของที่นี่ ทั้งนี้ไต้หวันเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นมากกับสหรัฐอเมริกา (คนที่ถือหนังสือเดินทางที่มีวีซ่าเข้าสหรัฐฯ สามารถเข้าไต้หวันได้เลยไม่ต้องขอวีซ่า) และมีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเปิดมาตลอด ทำให้ไทเป เมืองหลวงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการพัฒนาที่ดีมากที่สุดในเอเชีย ผู้คนที่นี่รักการอ่าน (ร้านหนังสือมีมากมายจริงๆ) รวมทั้งมีวัดขงจื๊อ (Confuscius Temple) อันเป็นรากเหง้าของหลักการความรู้คู่คุณธรรมของไต้หวัน (รวมทั้งจีน) ที่ดูเหมือนจะเป็นพื้นฐานความเจริญของผู้คนที่เมืองนี้

ย่าน “Dadaocheng”

ดิฉันชอบเดินเมืองเก่า เพราะเชื่อว่าไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม หากเห็นเมืองเก่าแล้วค่อยๆ ไล่ไปเมืองใหม่ โซนใหม่ จะสามารถทำให้สามารถลำดับเรื่องราวของแต่ละที่ได้ดีกว่า จุดมุ่งหมายแรกก็เลยเป็นที่ ย่าน “Dadaocheng” ย่านการค้าเก่าที่สุดของเมือง อยู่เลียบขนานเหนือใต้ริมแม่น้ำ Tamsui แม่น้ำสายหลักที่ตัดเข้าแผ่นดินทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะด้านช่องแคบไต้หวัน จากทะเลจีนตะวันออก ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์ ณ จุดนี้ ก็จะต้องนึกถีงวิถีการค้าโบราณ ที่สินค้าจะต้องมาจากเรือ และขนส่งกันตรงนี้ และปัจจุบันถนน Dihua ที่อยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของไทเป ก็เป็นหนึ่งในถนนสายที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดเพราะเรียงรายไปด้วยตึกแถวโบราณ ที่ยังคงเป็นร้านค้าขายของนานาชนิด แต่ส่วนใหญ่แถบนี้จะเน้นพวกอาหาร ของแห้งต่างๆ ทั้งที่ใช้ในครัวจีนและครัวฝรั่ง ถนน Dihua เป็นทั้งถนนขายของจริงๆ และถนนที่นักท่องเที่ยวมาเดินชมเมืองกันมาก แทรกตัวอยู่ระหว่างความสวยงามและวุ่นวายต่างๆ ของธุรกิจ ก็คือร้านค้าเก่าแก่ที่เรียงสินค้าของตนอย่างแน่นขนัดเต็มพื้นที่แต่ทว่าเกิดขึ้นด้วยองค์ประกอบของการจัดวางอย่างดี สวยงาม ประมาณ cluster สุดๆ แต่ก็ยังมีสไตล์ ไม่รกรุงรังแบบไร้ทิศทาง บางร้านด้านล่างขายของ แต่ด้านบนตกแต่งด้วยไม้เลื้อยที่พันอย่างงามไปดับเหล็กดัด ทำให้ดูเจริญตา ซึ่งการใช้ชีวิตอย่างสวยงามนี้เอง อาจจะพื้นฐานที่ทำให้ปัจจุบันไต้หวันยังเป็นศูนย์กลางการออกแบบ การดีไซน์สวยๆ แห่งหนึ่งที่โดดเด่นของโลกอีกด้วย



แม้ว่าจะไม่มีเวลาเปิดปิดอย่างเป็นทางการ แต่ก็แนะนำให้ไปเดินเล่นที่ถนนติหัว (Dihua) ประมาณช่วงสายๆ ของวัน ค่อยๆ เดินตั้งแต่หัวถนนจากทิศใต้ไปเหนือ ผ่านร้านค้าและชมข้าวของต่างๆ หรือจะแวะรับประทานอาหารหรือขนมตามร้านที่เริ่มมีเก๋ๆ เช่น Peacock Bistro เรื่อยลงไปและแวะชมร้านขายของกระจุกกระจิกโฮมเมด ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างร้านขายเครื่องยาจีน และบรรดาของแห้งสมุนไพรจนสุดทาง และค่อยเดินย้อนลงมาตามถนนที่ชื่อว่า Sec. 2. Yanping N. Road ผ่านร้านค้าส่งซึ่งส่วนใหญ่ตรงนี้จะเป็นร้านขายผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ ที่น่าจะทำให้สาวๆ ที่ชอบเรื่องการตัดเย็บตาลุกวาวได้ ระหว่างกลับมาตัวเมืองอีกครั้ง



ย่าน Datong 

ด้วยเวลาที่ผ่านไป ย่านการค้าเก่าแก่ของไทเปก็ขยายตัวลงใต้มายังย่านที่เรียกว่า Datong area ซึ่งคึกคักมากๆ แต่ในลักษณะที่เป็นอุตสาหกรรมขึ้นมาหน่อย เพราะย่านนี้มีทุกอย่างที่คุณอยากจะได้ ทั้งแบบขายปลีก ขายส่ง ตั้งแต่ของสวยงาม เครื่องประดับ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตระดับอุตสาหกรรม เช่น สายไฟต่างๆ น๊อตสกรูทุกประเภททุกขนาด หลอดไฟทุกประเภท หรือแม้กระทั่งของกระจุกกระจิกที่นักท่องเที่ยวชอบ ประมาณว่าหากมาเที่ยวไทเปแล้วเกิดลืมเข็มขัดซักเส้น หรือกระเป๋าเดินทางแตกขาด ก็สามารถมาซื้อซ่อมของเก่ากันได้ที่นี่ในราคาแบบตลาด หรือจะซื้อหมวก ถุงมือ เครื่องประดับบ้านสำหรับเทศกาลต่างๆ ที่ Datong มีทุกอย่าง และนี่ยังไม่รวมถึงห้างใต้ดินที่มีอีกนับไปถ้วนในย่านนี้ เริ่มตั้งแต่ Taipei City Mall ที่เน้นขายตุ๊กตุ่นตุ๊กตาทุกแบบที่สมัยนี้คนนิยมกันสุดๆ ซึ่ง Taipei City Mall มีทางเข้าเริ่มต้นตรงทางเดินใต้ดินที่ย่าน Datong เรื่อยมาจากกระทั่งเชื่อมต่อกัน กับระบบขนส่งทางรางทั้งหมดที่ Taipei Main Station สถานีหลักที่คุณสามารถขึ้นไปทั้งรถไฟใต้ดินในเมือง รถไฟความเร็วสูงและแบบธรรมดาเพื่อไปจังหวัดต่างๆ และรถบัสที่มีบริการหลายรูปแบบ

วัดหลงซาน (Long Shan Temple)

นอกจากการช็อปปิ้งแล้ว สิ่งแรกที่หลายๆ คนอยากทำเมื่อมาถึงไทเปก็คือ การไหว้พระขอพร และการชื่นชมความงามของวัดที่เก่าแก่และเป็นที่เคารพบูชามากที่สุดของเมือง ก็คือวัดหลงซาน (Long Shan Temple) วัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1738 ที่นี่มีเทพเจ้าต่างๆ กว่า 165 องค์ จึงเป็นวัดที่สมบูรณ์สำหรับทุกคนที่ต่างมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อขอพรนานาประการตามปรารถนา และเนื่องจากเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง ที่นี่จึงเป็นสถานที่สำคัญสำหรับท่องเที่ยวด้วย และคนนักท่องเที่ยวที่มากับรถทัวร์จะคลาคล่ำมากโดยเฉพาะช่วงเช้า จึงขอแนะนำว่าให้ใจเย็นๆ หรือให้มาช่วงบ่ายและค่อยๆ เดินสักการะเทพเจ้า พร้อมกับชมความงามของศิลปะปูนปั้น ที่ประดับประดาอยู่มากมายทุกมุม รวมทั้งหลังคาและซุ้มต่างๆ ก่อนเดินออกไปหายใจ และเรื่อยไป ชมเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ที่ Bo Pi Liao Historic Street Renovation ที่อยู่ไม่ไกลจากวัด

“Bo Pi Liao” Historic Street Renovation

Bo Pi Liao เป็นชุมชนจีนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) แต่เมื่อไต้หวันตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น พื้นที่เก่าแก่นี้ก็ถูกทำลายไปเพื่อสร้างเป็นถนน เมื่อปีค.. 2003 ที่ผ่านมา เทศบาลเมืองไต้หวันเริ่มทำการฟื้นฟูอนุรักษ์ย่าน Bo Pi Liao ซึ่งเป็นหนึ่งในบริเวณสำคัญของเขตเมืองเก่า Wanhua District และใช้เวลาทั้งสิ้น 6 ปี ปัจจุบัน Bo Pi Liao เลยมีหน้าตาย้อนยุคด้วยอาคารโบราณที่เรียงตัวกันให้เห็นถึงวันวาน และเนื่องจากไทเป เป็นเมืองศิลปะ การออกแบบ ด้านในของตัวอาคารเหล่านี้จึงถูกใช้เป็นทั้งสถานที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า และสถานที่จัดประชุมสัมนาในบรรยากาศใหม่ๆ นอกอาคารที่จำเจอีกด้วย ใกล้ๆ Bo Pi Liao นี้ยังเป็นศูนย์วัฒนธรรมไทเป ที่มีการจัดแสดงละคร การละเล่น ให้แก่ชาวเมืองสามารถมาชมได้เป็นประจำ



เมืองเก่า Wanhua

เมืองเก่า Wanhua ป็นย่านที่มีเสน่ห์ หากใครชอบความแท้จริงของเมืองที่ไปเยือน แนะนำให้ใช้เวลวย่านนี้ซักพัก เพราะหลังจากสองสถานคู่บ้านคู่เมือง เรายังได้เดินลัดเลาะเข้ามายังถนน Sanshui ที่กลายมาเป็นตลาดสด ที่ขายทุกอย่างทั้งของสด ของแห้ง เสื้อผ้า การจัดวางประมาณเดียวกันกับตลาดสดทั่วไปตามที่เคยได้เห็นมา คือเป็น one-stop shopping แบบบ้านๆ ของคนไทเป มาที่นี่แล้วสามารถซื้อได้ทุกอย่าง ตั้งแต่กับข้าว ของสดเข้าบ้าน ของไหว้เจ้า เสื้อผ้าชุดนักเรียน หรือแม้กระทั่งตัดผม

Eating in Taipei

TIPS – อาหารที่ไทเปขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย แต่สำหรับคนที่เคยชินกับอาหารจีนกวางตุ้งแบบฮ่องกง หรืออาหารรสจัดของไทยอย่างเราสองคน เรารู้สึกว่าหลายอย่างที่จืดและมันย่องกว่าที่คิดมากอยู่ ซึ่งนอกจากก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ขึ้นชื่อลือชาแล้ว ไทเปยังมีชื่อเสียงด้านตลาดกลางคืน ของว่างต่างๆ street food และขนมอีกมากย โดยเฉพาะน้ำแข็งไสถ้วยโตที่ทำจากไอติมซอร์เบต์เพิ่มรสชาติ แทนที่จะเป็นน้ำแข็งเปล่าๆ ราดผลไม้เท่านั้น และหลายร้าน นอกจากอาหารหลักแล้ว ยังมี appetizers ที่ปรุงเสร็จแล้ววางไว้ให้หยิบทานเป็นของว่างระหว่างรอ โดยจะคิดราคาที่ย่อมเยาว์ ไม่แพงค่ะ

เราไปไทเปช่วงที่เหมาะมาก คือช่วงที่หมอกลงจัดพอดี แม้ว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงปลายปี คือกลางเดือนธันวาคม ที่เราคาดว่าอากาศน่าจะหนาวสบาย แต่กลับเพียงมีความเย็นๆ ไม่มาก แถมบางวันฝนตก และบางวันร้อนต้องถอดเหลือแต่แขนสั้น สรุปคือ ไป 10 วันได้สัมผัสทุกฤดูของไทเป ก็ถือว่าคุ้มไปได้ทั้งปีทีเดียวค่ะ

ย่าน Xinyi

แต่ไทเปก็ไม่ได้มีแต่เมืองเก่า ย่านเศรษฐกิจใหม่และย่านกิ๊บเก๋ที่สุดของเมืองตอนนี้ เห็นจะเป็น ย่าน Xinyi ที่อยู่ด้านตะวันออกของเมือง อันเป็นที่ตั้งของตึกไทเป 101 ตึกระฟ้าที่ว่าไปก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสนใจของคนทั้งโลกกลับมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้ นอกจากจะเคยติดอันดับตึกสูงที่สุดในโลกมาแล้ว (ระหว่างปี 2004 – 2010) ตึกที่มีความสูงทั้งหมด 106 ชั้นแห่งนี้ ยังมีความดีงามเป็นเลิศด้านการอนุรักษ์พลังงานอีกด้วย และได้รับการรับรองระดับสูงสุดคือแพลตินั่ม จาก LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) อีกต่างหาก จึงทำให้ตึกนี้เป็นทั้งตึกสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงวิศวกรรมอันก้าวหน้าของเกาะไต้หวัน ที่ขึ้นชื่อไม่แพ้ใครเรื่องสภาพอากาศที่รุนแรง เจอทั้งพายุไต้ฝุ่นและแผ่นดินไหวทุกๆ ปี ขอบอกรายละเอียดสำหรับเนิร์ดทั้งหลายหน่อยนะคะว่า ตึกไทเป 101 ถูกออกแบบมาให้สามารถต้านทานลมไต้ฝุ่นที่มีความรุนแรงได้ถึง 60 เมตรต่อวินาที และแผ่นดินไหวขนาดใหญ่สุดในรอบสองศตวรรษครึ่งได้ น่าทึ่งจริงๆ



Songchan Culture and Creative Park

นอกจากการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแล้ว ย่าน Xinyi ก็ยังมี Songchan Culture and Creative Park สวนแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่สวยงามและมีพลังต่อการมีชีวิตมากเหลือเกิน ขอบอกว่าใครที่มาไต้หวันสมควรมากๆ ที่จะใช้เวลามาแวะเวียนไปเยือนที่นี่ ส่วนตัวคิดว่า การมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ ได้อะไรมากมายกว่าการเที่ยวห้าง เห็นของสวยงาม ไอเดียศิลปะที่ถูกสร้างขึ้น ทำให้เกิดขึ้นจริงในโลก ความงดงามในความเก่า (สวนนี้ทำจากโรงงานยาสูบเก่า ขอกรี๊ดสวนแตก) พื้นที่ ความว่างเปล่า บรรยากาศ ความรู้สึก ทุกอย่างคือผสมผสานกันเป็นแรงบันดาลใจ เห็นของแบบนี้ สถานที่แบบนี้ รู้สึกได้ชุบอารมณ์ใหม่ ออกจากความรู้สึกเดิมๆ มีชีวิตชีวา หรือว่าศิลปะคือเครื่องเยียวยา บ่อน้ำวิเศษที่ทำให้เกิดใหม่ หรือหายเบื่อ ฟื้นคืนชีพทางอารมณ์ของจริง เพราะโรงงานยาสูบเก่าที่รกร้างตั้งแต่สมัยยุคอาณานิคม ลักษณะตัวตึกชั้นเดียวที่ยาวติดกันเป็นตัวยู ที่ดูแล้วจืดชืด กลับกลายเป็นฉากหลังให้แก่ความคิดใหม่ๆ โดดเด่น ตัวตึกโอบล้อมสวนขนาดเล็กพร้อมน้ำพุ ที่มองเห็นจากทุกมุม ส่วนพื้นที่ด้านใน ห้องทำงานต่างๆ ถูกปรับปรุงแล้วใช้เป็นห้องจัดแสดงงานศิลปะและการออกแบบทุกประเภท โดยรัฐบาลไต้หวันยกให้ที่นี่เป็น Creative Hub of Taipei ให้ทุกคนเข้าชมฟรี มาแล้ว หากเมื่อย ก็สมควรไปที่ร้านกาแฟ ที่จัดสวยเก๋มากๆ และแน่นอนว่าจะต้องมีโซนจัดวางแสดงและขายสินค้าของนักออกแบบรุ่นใหม่ไว้ล่อตาล่อใจอีกด้วย

ย่าน Fujin Street

เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ ที่ไทเปก็มีย่านที่เกิดใหม่ที่มาพร้อมกันกับสถานที่ การตกแต่ง และไอเดียใหม่ๆ ให้ชาวเมืองได้เพลิดเพลินตลอดเวลา ขอบอกว่าย่าน Fujin Street ย่านที่อยู่อาศัยเก่าแก่ของเมือง ตอนนี้กลับกลายมาเป็นย่านฮิปมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะการรวมตัวของร้านเล็กๆ คาเฟ่ต่างๆ และร้านแฟชั่นอิสระที่ค่อยๆ ย้ายมารวมกันอยู่ในย่านนี้ ที่ Fujin Street Café ร้านกาแฟกึ่งคาเฟ่ ฮิบสเตอร์ชาวไทเปมานั่งอ่านหนังสือบ้าง นั่งคุยกันกับเพื่อนๆ บ้าง รับประทานกริลชีสแซนวิช หรือไม่ก็ขนมไข่คาสเตลล่า กับกาแฟทั้งดริปและใช้เครื่อง บรรยากาศทำให้ผู้เขียนรู้สึกเหมือนการ globalization ของร้านกาแฟ คือร้านแบบนี้บ้านเราก็มีเยอะ และเป็นที่นิยมมากในหมู่ฮิบสเตอร์เหมือนกัน ซึ่งก็คงได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่อื่นๆ ในสมัยที่อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้จากทั่วมุมโลก สิ่งต่างๆ ที่เห็น ณ ที่นึง อาจจะไม่เหลือข้อจำกัดทางสถานที่ได้อีกต่อไป เพราะใครๆ ก็ทำแบบนั้นได้แล้ว หากต้องการ

แม้รูปแบบจะเป็นเรื่องที่สามารถยืมอิทธิพลกันได้ แต่รายละเอียดและความรู้สึก อาจเป็นเรื่องยากกว่าที่จะเลียนแบบ ย่าน Fujin Street ของไทเปกำลังมา ที่ดีกว่าของเค้าคือเรื่องการเดินทาง คนที่นี่ไม่เยอะ ไม่แออัดเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ และเนื่องจากมีระบบขนส่งสาธารณะค่อนข้างดี ถนนหนทางเลยยังไม่ค่อยติดมากนัก หากจะมาที่นี่ แนะนำให้ขึ้นรถใต้ดินมาลงที่สถานี Taipei Arena แล้วต่อแท็กซี่ นอกจากร้าน Fujin Tree Café แล้ว ที่นี่ยังมีร้านรวงต่างๆ มากมายเรียงรายเคียงคู่ไปกับร้านแบบเก่า อพาร์ทเม้นท์แบบเก่า เป็นภาพที่น่ารักดีค่ะ



จิ่วเฟิ่น (Jiufen)

มาไทเปใช่ว่าจะต้องเดินอยู่แต่ในเมืองทุกวัน (ถึงแม้ว่าหากต้องการทำแบบนั้น มันก็ไม่มีอะไรผิดนะคะ) ขอแนะนำว่าให้ใช้เวลาซักหนึ่งหรือสองสามวันนั่งรถออกไปเที่ยวนอกเมืองบ้าง สิ่งที่ๆ เราไปมา และน่าจะเป็นสองที่ๆ ใครๆ ที่มาไทเปก็สามารถไปได้ง่ายที่สุดก็คือ จิ่วเฟิ่น เมืองเก่าที่อยู่ติดชายทะเลทางเหนือของไทเป ที่นี่เป็นเหมืองทองเก่าตั้งแต่สมัยญี่ปุ่น และเมื่อหมดยุคเหมืองทอง ด้วยความที่มีลักษณะสวยงาม หมู่บ้านสร้างลัดเลาะริมหน้าผา ก็เลยทำให้เมืองเก่าแห่งนี้รอดจากการทำลายให้กลายเป็นเมืองแบบอื่นไปได้ ก็เพราะจิ่วเฟิ่นเป็นเมืองที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับการ์ตูนเรื่อง Spirited Away (2001) และภาพยนตร์เรื่อง A City of Sadness (1990) ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมาก แปลว่าคนเยอะมากๆๆๆ หนาแน่นทุกตารางนิ้วของตรอกเมืองเก่า ที่มาตามหาเมืองโคมแดงในตำนานแห่งนี้ แนะนำว่าให้มาตอนเช้า คือทานข้าวเช้าโรงแรมเสร็จให้นั่งรถทัวร์มาเลย มาถึงแล้วก็ทานโน่นทานนี่ตามทางไปจนหมด หากต้องการสามารถเลือกร้านน้ำชานั่งชมวิวได้ตามสะดวก ร้าน A Mei ที่หนังสือท่องเที่ยวต่างแนะนำ ทั้งหยิ่งทั้งแพง ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปร้านที่เลยผ่านจุดชมวิวออกไปด้านหลัง ติดกับศาลเจ้า ที่ด้านล่างเป็นร้านขายชาและอุปกรณ์ชงชา มีแมวนำโชคและผู้หญิงยิ้มเยอะคอยต้อนรับ ด้านบนของร้านนี้คือร้านชาที่ทองเห็นวิวกว้างของท้องทะเล ราคาน้ำชาและอาหารของร้านที่เห็นวิวแบบนี้จะสูงหน่อย ให้เตรียมเงินไว้คนละประมาณ 600 – 1,000 ดอลล่าร์ไต้หวันค่ะ



ไบ่โถ (Beitou)

เมืองน้ำพุร้อนไบ่โถ ที่สามารถไปได้โดยรถใต้ดินสายสีแดง เป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่แนะนำอย่างแรง แน่นอนว่าไต้หวันได้รับวัฒนธรรมการอาบน้ำพุร้อนมากจากญี่ปุ่นอย่างเต็มๆ ทำให้เมืองนี้มีโรงแรมมากมายที่มีชื่อเป็นญี่ปุ่น และมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นคลาคล่ำเพราะมาอาบน้ำร้อนที่นี่ราคาถูกใจกระเป๋ากว่าบ้านตัวเองมาก ที่นี่เป็นเมืองแห่งต้นไม้ อย่าพลาดเข้าชมหอสมุดสาธารณะที่สวยมากๆ ตัวตึกสองชั้นเป็นไม้สร้างลดหลั่นตามความลาดชันของพื้นที่ มีหน้าต่างกรุล้อมรอบตัวตึก และมีระเบียงให้สามารถเดินทอดหุ่ยได้ จากการที่เข้าไปสำรวจ (ห้องน้ำ) ก็ปรากฏว่าโถส้วมสตรียังเป็นแบบซึมตามธรรมเนียมจีนเดิม ซึ่งขัดกับภาพอันสวยงามของห้องสมุดสุดๆ แต่คนที่นี่ก็น่าจะมีชีวิตที่ดี เห็นว่ามีผู้สูงวัยมากมายที่มานั่งใช้ชั่วโมงกลางวันอ่านหนังสือที่นี่ ข้างกายมีกระติกน้ำส่วนตัวติดมาด้วย ในกระเป๋า ผู้เขียนแอบคิด อาจจะมีชุดว่ายน้ำ ผ้าเช็ดตัว เพราะไหนๆ มาถึงเบ่ยโถวแล้ว หากต้องการ ก็สามารถเข้าโรงอาบน้ำ อาบน้ำแร่ได้ เป็นการพักผ่อน ฟื้นฟูการไหลเวียนของกระแสโลหิต อันน่าจะเป็นที่มาของการเป็นหนุ่มเป็นสาวอย่างอมตะนิรันดร์การได้อีกวิธีค่ะ

ห้องสมุดสาธารณะแห่งนี้เปิดให้ทุกคนเข้าไปอ่านหนังสือได้ และเป็นห้องสมุดแบบ green แห่งแรกของไต้หวันที่ออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติ เช่น ตั้งมุมให้สามารถรับแสงสว่างจากธรรมชาติได้มาก เพื่อเป็นการประหยัดไฟ ส่วนหลังคาของห้องสมุดก็ยังมีการติดตั้งแผงโซล่าเพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ระเบียงทางเดินที่ออกแบบอย่างสวยงามล้อมรอบตัวตึก ก็มีหน้าที่กั้นและสะท้อนความร้อนก่อนที่ความร้อนจะเข้ามากระทบตัวตึก ประหยัดไฟที่จะต้องใช้ผลิตเครื่องปรับอากาศ นอกจากนั้นยังมีการติดรางน้ำ ที่ตั้งองศาพอดี ให้น้ำสามารถไหลลงไปรวมกันได้อย่างสะดวก เป็นการเก็บกักน้ำไว้ใช้ เพื่อรดน้ำต้นไม้และทำความสะอาดต่างๆ โดยไม่ต้องเปลืองน้ำประปาอีกด้วย

ร้านอร่อยไทเปและที่อื่นๆ 



© OHHAPPYBEAR

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *