
อ่านเรื่องตอนแรก POSTCARDS FROM SEATTLE
เครื่องบินออกเวลาตีห้า หมายถึงเราสองคนจะต้องไปถึงสนามบินอย่างน้อยตีสองครึ่ง หมายถึงหากไม่นอนเร็วตั้งแต่หกโมงเย็น ก็อาจจะไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืนเพราะกลัวว่าจะตื่นไม่ทัน สายการบินเดลต้าบินจากกรุงเทพฯ เข้านาริตะ (ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง) รอเปลี่ยนเครื่องเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็บินเข้าสนามบิน Seattle-Tacoma โดยใช้เวลาอีกประมาณ 9 ชั่วโมง เดลต้าเป็นสายการบินที่สะดวกมากๆ หากต้องการเดินทางท่องเที่ยวภาพตะวันตกเฉียงเหนือสหรัฐ เพราะมีเที่ยวบินตรงไปถึงทั้งซีแอตเทิลและพอร์ตแลนด์ โอเรกอน ไม่ต้องไปเสียเวลาเข้าเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น แอลเอ ซานฟรานฯ ก่อนแล้วค่อยต่อเครื่องมาเมืองเหล่านี้อีกที

ด้วยความที่ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน ทั้งจัดกระเป๋าและเก็บบ้านให้เรียบร้อย (ส่งหมาแก่ไป day care วันก่อนหน้านั้นเรียบร้อย) พอขึ้นเครื่องปุ๊ป เราก็สามารถหลับกันได้ทันที ^^แต่ด้วยความตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลับไปเที่ยวเมืองที่ชอบมากที่สุด (โดยเฉพาะเมื่อฝนตกพรำๆ อากาศเย็นๆ ฟังแล้วเหมือนเป็นคนเพี้ยนๆ หลอนๆ) เลยตื่นขึ้นมาดูหนังบ้างอะไรบ้างเพลินๆ ไป เครื่องบินที่ได้นั่งไปวันนั้นเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำใหม่ ที่นั่งชั้นประหยัดมีหมอนรอคอและจอโทรทัศน์แบบทัชสกรีน อาหารแม้จะเบๆ ข้าวกับกับหนึ่งอย่าง สลัด ผลไม้ ขนมปัง ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็พอใช้ได้ และด้วยความที่เที่ยวนี้จะไปถึงนาริตะประมาณบ่ายสามโมงของประเทศญี่ปุ่น ก็เลยมีคนไทยจำนวนมากที่ขึ้นมาแล้วลงญี่ปุ่น ไปเที่ยวตอนที่เขายกเว้นวีซ่าพอดี

การบินข้ามทวีปมาสหรัฐฯ สิ่งหนึ่งที่ชอบมากคือได้เวลากลับคืนมา เพราะสหรัฐโดยเฉพาะฝั่งตะวันตก ช้ากว่าเราประมาณ 13-14 ชั่วโมง เราออกเดินทางตีห้าวันที่ 3 กันยายนของประเทศไทย ถึงซีแอตเทิลตอนเช้า 8.15 ในวันเดียวกัน เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่หน่อย คิวตรวจคนเข้าเมืองของซีแอตเทิลจึงยาวมากๆ (แต่ก็ยังดีกว่าแอลเอแน่นอน) และใช้เวลาร่วมชั่วโมงหนึ่งทีเดียว มาถึงที่นี่สิ่งที่จะต้องเตรียมตอบคำถามคือ มาทำไม (คำตอบสำหรับพวกเราคือ visiting) มากี่วัน (about a month and a half) พักที่ไหน (ที่ Seattle คือ Mayflower Park Hotel) แล้วพกเงินสดมาเท่าไหร่ พอบอกว่าเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ยักคิ้วแล้วยิ้มให้ หันไปมองสามีแล้วบอกว่า You must be the photographer then? Yes! OK! Enjoy your stay!

เราวางแผนกันแต่ต้นแล้วว่า มาเที่ยวอเมริกาคราวนี้ จะไม่เช่ารถขับเที่ยวเหมือนครั้งก่อนๆ เป็นอันขาดเพราะว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และการเดินเที่ยวแม้จะเหนื่อยกายแต่ก็ไม่ต้องประสาทตึงขับรถเหมือนอยู่กรุงเทพฯ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับวิถีของประเทศนี้จะรู้ว่า การไม่ขับรถเลยในสหรัฐถือว่าเป็นเรื่องกล้าหาญมากอย่างหนึ่ง เพราะด้วยความที่เป็นประเทศใหญ่ สิ่งต่างๆ ในประเทศนี้ถึงได้อยู่กระจัดกระจายกันไปทั่วเมือง แต่ละที่ก็ใหญ่ยักษ์จนต้องเดินขาลาก ข่าวดีคือว่า แม้ว่ารถยังจะสำคัญในความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ที่นี่ แต่สองเมืองที่เราเลือกมาเที่ยวในครั้งนี้ถือว่าเป็นสองเมืองที่ pedestrian friendly มากที่สุดของประเทศนี้ก็ว่าได้ หนึ่ง ดาวน์ทาวน์มีขนาดไม่ใหญ่มาก และทุกสิ่งอย่างอยู่ในเขตใกล้กันแบบเดินได้ สองหากต้องการออกไปนอกเมืองหรือเมื่อยมากนัก เขาก็มีระบบขนส่งสาธารณะอย่างดี ไม่แพง ที่เราสามารถใช้ได้ โดยไม่ต้องเช่ารถเลย

ดังนั้นพอพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่เราสองคนทำก็คือ เดินลากกระเป๋าคนละใบข้ามที่จอดรถของสนามบินไปยังสถานีรถไฟของ Sound Transit ที่มีรถไฟเข้าเมืองออกทุกๆ 10 นาที ราคาคนละ $2.75 โดยหยอดเงินซื้อตั๋วได้ที่เครื่องในสถานี และใช้เวลาวิ่งเข้าเมือง สถานี Westlake Center ที่ติดกับที่พักของเราประมาณ 40 นาที ผ่านย่าน SODO (South of King Dome สนามกีฬาเก่าที่ถูกทำลายไปแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่บ้านยังมีรูปโดมแห่งนี้ ที่ซื้อเก็บไว้นานแล้วเป็นที่ระลึก) และ Stadium (มีสนามกีฬา Safeco Field, Century Link Field) ซึ่งอยู่ด้านใต้ของตัวเมือง ก่อนที่จะเข้าเขตเมือง ผ่าน International District/China Town ย่าน Pioneer Square จนถึงปลายทางที่ Westlake หัวใจของดาวน์ทาวน์ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า และห้างมากมาย

แม้ว่าโรงแรมที่พวกเราพักจะอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ คือเลยไปหนึ่งบล็อกเท่านั้น (แต่ด้วยความฉลาด เราสองคนก็ต้องหลงและเดินวนเป็นวงกลมเล็กน้อยพอประมาณ) แต่ก็ขอแนะนำว่าอย่าหอบของมามากนักหากคิดจะลากกระเป๋าเที่ยวเองเช่นนี้ เพราะมีทั้งบันได มีทั้งลิฟต์ตลอดทาง วิธีหนึ่งที่จะทำให้กระเป๋าไม่หนักก็คือ การวางแผนใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้นแทนที่จะใช้เสื้อกันหนาวตัวโตๆ ตัวเดียว วันที่เรามาอากาศดีมากเพราะเป็นปลายๆ ฤดูร้อน แต่หากใครรู้จัก Pacific Northwest ดีก็จะรู้ว่าที่เขาพูดกันว่า unpredictable like the weathers นั้นคือความจริง นาทีนึงแดดออกฟ้าใส อีกนาทีนึงเมฆเริ่มครึ้ม ฝนอาจตก ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นการใส่เสื้อหลายๆ ชั้น ทำให้สามารถลอกออกได้ หรือใส่เพิ่มได้ทีละชั้นๆ จะสะดวกกว่าแถมยังดูโลคัลมากๆ (ไม่ดูเป็นนักท่องเที่ยวเสร่อๆ 🙂 สิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยก็สำหรับคนที่ชอบเดินเที่ยวก็คือ รองเท้าคู่ใจที่ใส่สบายที่สุด ขอแนะนำว่าให้นำคู่ที่นิ่มที่สุดที่คุณมีมา พื้นหนาๆ หน่อยจะดีมาก ประเภทรองเท้าบัลเลต์พื้นบางๆ ขอบอกว่าจะทรมาณทีนอย่างแรง เดินที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยซึ่งส่วนใหญ่คือเดินจากรถเข้าห้าง ที่นี่เดินเที่ยวทีหลายสิบบล็อกเมือง รองเท้าที่ดีๆ นิ่มๆ พื้นหนาๆ นุ่มๆ พร้อมร่มคันเบาๆ หรือเสื้อกันฝน กระเป๋าสะพายที่หอบเฉพาะของจำเป็น (มือถือที่ถ่ายรูปได้ แผนที่) เป็นอันพอ
นอกจากการจัดกระเป๋าแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนล่วงหน้าเวลามาเที่ยวสหรัฐคือการขอวีซ่า รายละเอียดของสถานทูตมีที่นี่
เคล็ดลับการเที่ยวให้สนุกอีกอย่างสำหรับพวกเราคือ ตั้งงบประมาณและใช้เงินสดตลอดทาง โดยเราค่อยๆ ทะยอยแลกเงินดอลล่าร์มาก่อนล่วงหน้านานทีเดียว โดยเฉพาะช่วงที่เงินดอลล่าร์อ่อนมากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำคือ นำจำนวนวันคูณกับค่าอาหารและที่พัก และช็อปปิง (ค่าอาหารต่อมื้อต่อคนประมาณ 20-30 เหรียญ หรือคร่าวๆ วันละ 100 เหรียญ) แล้วนำมาให้พอใช้โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิตซึ่งมีไว้เผื่อยามฉุกเฉินเท่านั้นค่ะ
คราวหน้ามาเริ่มต้นชมเมืองซีแอตเทิลแบบเดินเท้ากันนะคะ ^^
Reblogged this on Ohsirin.